ฉากมหาชาติ 13 กัณฑ์ วัดขุนตรา จังหวัดเพชรบุรี

30722
views

มรดกเชิงช่างเมืองเพชร

เพชรบุรีได้รับการกล่าวขานและยอมรับว่า เป็นเมืองช่างฝีมืออันดับต้นๆ ของประเทศ เพราะมีงานศิลปกรรมโบราณอันทรงคุณค่าที่ได้รับ การดูแลรักษาเป็นหลักฐานให้ได้ประจักษ์ และยังมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาสกุลช่างเมืองเพชรจากรุ่นสู่รุ่นสืบมาจนถึงปัจจุบัน 

งานช่างเมืองเพชรรุ่งเรืองมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย ในยุคนี้ ชาวเพชรบุรีเข้าไปมีความสัมพันธ์กับราชสำนักกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก ทั้งในฐานะพระภิกษุผู้ทรงภูมิ ทรงคุณอันเป็นที่นับถือของพระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนาง มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเจ้านายในราชสำนัก และการเข้าไปรับราชการ ตัวอย่างบุคคลเหล่านี้ เช่น สมเด็จพระสังฆราชแตงโม วัดพระมหาธาตุในกรุงศรีอยุธยาที่ไปจากวัดใหญ่สุวรรณาราม พระอาจารย์แสง วัดเขาบันไดอิฐ กรมหลวงอภัยนุชิตและกรมหลวงพิพิธมนตรีในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่มีเชื้อสายพราหมณ์บ้านสมอพลือ

ในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีการปฏิสังขรณ์อารามในเมืองเพชรบุรีเป็นจำนวนมาก เช่น วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดมหาธาตุ วัดเขาบันไดอิฐ วัดพระพุทธไสยาสน์ การปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้น ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก และได้รับพระราชทานช่างหลวงจากในกรุงมาทำงานช่างเป็นเวลานาน ในขณะเดียวกันย่อมต้องมีการเกณฑ์ช่างท้องถิ่นเข้าไปช่วยงานช่างหลวงด้วย 

การมีส่วนร่วมในการทำงานย่อมทำให้ภูมิปัญญาชั้นเชิงช่างหลวงในราชสำนักได้รับการถ่ายทอดฝึกหัดสู่ช่างเมืองเพชร เกิดการเรียนรู้ แลก รับ ปรับเปลี่ยน ถ่ายทอดฝีมือสืบกันมารุ่นต่อรุ่น ช่างเมืองเพชรนิยมนำแบบอย่างศิลปกรรมชั้นครูในสมัยกรุงศรีอยุธยามาสืบสานต่อยอด โดยมีทั้งกลุ่มช่างที่ยังคงสืบสานขนบในการสร้างงานตามแบบครูเมื่อครั้งกรุงเก่า และกลุ่มช่างที่พัฒนางานต่อยอดไปเป็นงานช่างแสดงเอกลักษณ์ จนในที่สุดแล้วรูปแบบงานช่างเมืองเพชรจึงมีอัตลักษณ์เป็นรูปแบบงานศิลปกรรมที่มีกลิ่นอายอยุธยา แต่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของเมืองเพชรบุรี เป็น “สกุลช่างเพชรบุรี” 

เข้าสู่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ งานช่างเมืองเพชรก็ยังคงอัตลักษณ์ “สกุลช่างเพชรบุรี” ที่สืบทอด มาจากสมัยอยุธยาได้เป็นอย่างดี 

ดังปรากฏหลักฐานรายชื่อช่างท้องถิ่นเป็นจำนวนมากที่ได้รับการเกณฑ์ให้มาบูรณะวัดมหาธาตุในสมัยรัชกาลที่ ๓ เช่น “นายสิน นายมา บ้านใหม่ นายอิน นายชู นายที บ้านดอนแจง นายนาก บ้านช่องสะแก” และได้สร้างงานในยุคนี้เหลือเป็นหลักฐานเอาไว้เป็นจำนวนมาก เช่น วัดมหาธาตุ วัดอุทัย วัดไชยสุรินทร์ วัดท่าคอย

ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ อันเป็นยุคที่เริ่มรับอิทธิพลตะวันตก มีงานช่างแบบตะวันตกเกิดขึ้นในเพชรบุรีเป็นจำนวนมาก เช่น พระนครคีรี ศาลาว่าการรัฐบาล พระรามราชนิเวศน์ บ้านพักข้าราชการ ช่างเมืองเพชรจำนวนมากได้ปรับเชิงช่างตามสมัยนิยม และเกิดเป็นงานที่รับอิทธิพลตะวันตกขึ้นมาอีกแขนงหนึ่งแต่ก็มิได้ทิ้งทักษะดั้งเดิม ช่างชั้นครูในยุคนี้ ได้แก่ ขรัวอินโข่ง พระอุปัชฌาย์ฤทธิ์ วัดพลับพลาชัย ขุนศรีวังยศ พระอาจารย์เป้า วัดพระทรง นายหวน ตาลวันนา นายเลิศ พ่วงพระเดช นายพิน อินฟ้าแสง นายอยู่ อินมี

เชิงช่างเมืองเพชร

ในสมัยรัชกาลที่ ๔  เป็นยุคที่เศรษฐกิจท้องถิ่นขยายตัวเนื่องจากสนธิสัญญาเบาว์ริง  กลุ่มผู้สนับสนุนงานช่างเมืองเพชรเปลี่ยนจากราชสำนักและเจ้าเมือง มาเป็นพ่อค้าคหบดี และชาวบ้านผู้มีฐานะในท้องถิ่น อารามต่างๆ ได้รับการบูรณะและสร้างขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก กอปรกับค่านิยมในการสร้างเมรุชั่วคราวสำหรับปลงศพผู้มีคุณได้รับความนิยมมาก งานเมรุเป็นงานรวม ช่างฝีมือหลายแขนง ทั้งช่างโครงสร้าง ช่างไม้ ช่างเขียน ช่างแกะสลัก ช่างจำหลักลายกระดาษ ช่างเครื่องสด เมรุเหล่านี้ สร้างขึ้นมาใช้เพียงครั้งเดียวและเผาไปพร้อมกับศพ งานช่างแขนงต่าง ๆ จึงได้รับการออกแบบ ฝึกหัดและทดลองทำอยู่เสมอ ทำให้เป็นยุครุ่งเรืองของงานช่างเมืองเพชรอีกยุคหนึ่ง

ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระนิพนธ์ไว้ว่า “ที่เมืองเพชรบุรียังใช้ธรรมเนียมเดิม อีกอย่างหนึ่งที่เผาเมรุไปด้วยกันกับศพ ด้วยเหตุนั้นที่เมืองเพชรบุรีจึงยังมีช่างมาก เพราะมีการทำเมรุเครื่องกระดาษอยู่เสมอ”

งานช่างในยุคนี้มีวัดเป็นสำนักฝึกหัดช่าง สำนักที่มีชื่อเสียงได้แก่ วัดยาง วัดพลับพลาชัย วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดพระทรง วัดลาด วัดเกาะ

ความรุ่งเรืองของงานช่างในยุคนี้เป็นรากฐานให้เกิดการสืบทอดงาน “สกุลช่างเมืองเพชร” แขนงต่างๆ สืบมาในปัจจุบัน ได้แก่ ช่างเขียน ช่างปูนปั้น ช่างไม้ ช่างแกะสลัก ช่างตอกกระดาษ ช่างลงรัก ปิดทองประดับกระจก ช่างทอง ช่างฝังลายไม้มูก และได้รับการประกาศยกย่องจากกระทรวงวัฒนธรรมให้เพชรบุรีเป็น “เมืองช่างแห่งสยาม”

ในบรรดางานช่างทั้งหลาย นับถือกันว่างานของช่างเขียนสำคัญที่สุด เพราะงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นงานปูนปั้น งานแกะสลัก งานเขียนลายรดน้ำ งานตอกกระดาษ งานฝังไม้มูก ล้วนต้องอาศัยแบบลายจากช่างเขียนทั้งสิ้น ช่างต่างๆ จึงต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังคำกล่าวที่ว่า “ช่างกลึงต้องพึ่งช่างชัก ช่างสลักต้องพึ่งช่างเขียน” การฝึกหัดงานช่างต่าง ๆ จึงต้องมีพื้นฐานด้านช่างเขียนมาก่อน ด้วยลักษณะเช่นนี้ ช่างบางคนจึงสามารถทำงานได้หลายแขนง

ตัวอย่างผลงานช่างเขียนเมืองเพชร ได้แก่ ลายบัวก้นถ้วยฝีมือพระครูญานวิจัย (ยิด สุวณฺโณ) วัดเกาะ ลายกนกฝีมือพระอาจารย์เป้า ปญฺโญ วัดพระทรง สมุดภาพตำราลายไทยของ ปญฺญาพโลภิกขุ (แนบ สุวรรณปัติย์) ซึ่งได้คัดลอกลายของครูช่างโบราณมารวมรวมไว้ในสมุดข่อย ตำราลายเหล่านี้ เป็นต้นแบบที่ช่างเขียนเสาะหามาเป็นแบบเป็นครู ในการสร้างงาน ดังปรากฏการใช้ทักษะงานเขียนในฉากมหาชาติฝีมือครูเลิศ พ่วงพระเดช และสมุดข่อยตำราดาว จากวัดขุนตรา

ในส่วนของงานช่างไม้โครงสร้างและการฉลุสลักลายมีตัวอย่าง เช่น ธรรมาสน์ทรงฝรั่งวัดท่าศาลาราม ธรรมาสน์ปาฏิโมกข์ และช่องลมไม้ฉลุสลักลายจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ซึ่งเป็นงานช่างจากสำนัก วัดพลับพลาชัย นอกจากนี้กระดาษทองตอกลายประดับเครื่องเมรุ จากสำนักวัดลาด และกล่องใบลานฝังลายไม้มูก ต่างก็ล้วนเป็นงานช่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองเพชร เช่นกัน

ประวัติช่าง: อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช

อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ที่จังหวัดเพชรบุรี เริ่มเรียนหนังสือไทยเมื่ออายุได้ ๕ ปี ที่วัดคงคาราม ต่อมาเมื่ออายุ ๙ ปี ได้เข้าไปศึกษาวิชาการช่างที่วัดพลับพลาชัยกับพระอุปัชฌาย์ฤทธิ์ เพื่อศึกษาวิชาเขียนภาพ ขณะนั้นพระอุปัชฌาย์ฤทธิ์อายุได้ ๗๒ ปีแล้ว

เมื่ออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช เข้าไปศึกษาวิชาช่างกับพระอุปัชฌาย์ฤทธิ์ที่วัดพลับพลาชัย ได้เพียง ๓ ปี ก็มีผลงานเป็นที่ปรากฏ คือได้ช่วยพระอุปัชฌาย์ฤทธิ์เขียนจั่วเมรุพระพิศาลสมณกิจ(สิน) เจ้าคณะเมืองเพชรบุรี วัดคงคาราม ผลงานในครั้งนั้นได้รับคำชมเชยจากภิกษุและฆราวาส ท่านจึงได้มีกำลังใจในการฝึกฝนงานช่างสืบต่อมา

อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช เป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายของพระอุปัชฌาย์ฤทธิ์ ได้อยู่ศึกษาวิชาช่างและปฏิบัติท่านถึง ๑๔ ปี จนพระอุปัชฌาย์ฤทธิ์มรณภาพเมื่ออายุได้ ๘๗ ปี ในปี พ.ศ.๒๔๖๑

อาจารย์เลิศมีความสามารถในการเขียนภาพและแกะสลัก แต่ท่านชอบทำงานเขียนภาพ ส่วนใหญ่เป็นภาพมหาชาติหรือพุทธประวัติ ผลงานส่วนใหญ่ที่เป็นภาพฉากในกรอบกระจกผู้ว่าจ้างนำไปถวายวัด บางส่วนเป็นจิตรกรรมฝาผนังตามวัด ในสมัยหลังที่นิยมภาพเขียนประดับอาคารสถานที่ ได้มีผู้มาว่าจ้างท่านให้เขียนภาพเพื่อใช้ตกแต่งอาคาร และบางภาพได้นำไปยังต่างประเทศ ในช่วงของการบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๑๕๐ ปี ท่านได้เข้ามาเขียนภาพผนังที่ระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภายใต้การควบคุมของพระเทวาภินิมมิต

อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช เป็นช่างไทยโบราณที่มีพื้นฐานมาจากช่างเขียน และพัฒนาทักษะต่อยอดไปยังงานช่างไทยแขนงอื่นๆ เช่น ช่างเขียนลายรดน้ำ ช่างแกะสลัก ช่างปูนปั้น ช่างประดับกระจก ออกแบบสถาปัตยกรรมไทย ผลงานที่ปรากฏและมีการรวบรวมไว้ ดังนี้

พ.ศ. ๒๔๔๘ อายุ ๑๒ ปีช่วยพระอุปัชฌาย์ฤทธิ์เขียนจั่วเมรุพระพิศาลสมณกิจ(สิน) เจ้าคณะเมืองเพชรบุรี วัดคงคาราม

พ.ศ. ๒๔๔๙ อายุ ๑๓ ปี เขียนตู้พระธรรมที่วัดใหญ่สุวรรณารามจังหวัดเพชรบุรี

พ.ศ. ๒๔๖๒ แกะสลักหน้าจั่ววัดทองนพคุณเพชรบุรี

พ.ศ. ๒๔๖๔ ออกแบบอุโบสถและศาลาการเปรียญวัดพลับพลาชัย

พ.ศ. ๒๔๖๕ แกะสลักบานประตู และหน้าต่างอุโบสถ และสร้างธรรมาสน์ยอดนภศูลวัดพลับพลาชัย โดยหลวงมณีนฤเบศร์เป็นผู้สร้างค่าจ้างประมาณ ๘-๑๐ ชั่ง

พ.ศ. ๒๔๖๕ เขียนภาพ ๑๒ ภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ

พ.ศ. ๒๔๗๒ ทำการซ่อมแซมภาพที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เขียนอยู่ ๒ ปี รวมทั้งซ่อมแซมและเขียนใหม่ ๑๑ ห้อง

พ.ศ. ๒๔๗๕ เขียนเรื่องเวสสันดรชาดก ๑๕ ภาพที่วัดพลับพลาชัยเพชรบุรี

พ.ศ. ๒๔๗๘ แกะสลักบานหน้าต่างและหน้าจั่วศาลาวัดเขมาภิรตาราม

พ.ศ. ๒๔๘๑ ออกแบบอุโบสถวัดหนองไม้เหลืองและแกะลายจั่ว สาหร่ายรวงผึ้งมุขโถงทั้ง ๒ ด้าน

พ.ศ. ๒๔๘๗ เขียนภาพที่อุโบสถวัดเกาะหลักจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

นอกจากนี้ท่านยังมีผลงานอื่นๆ อีกที่ไม่ทราบปีที่ทำงานแน่นอน ได้แก่

ฉากพุทธประวัติที่วัดใหญ่สุวรรณารามจำนวน ๑๐ ภาพ ปัจจุบันสูญหายไป

ฉากพุทธประวัติที่วัดจันทราวาส ปัจจุบันสูญหายไป

ฉากพุทธประวัติที่วัดแก่นเหล็ก ๑๓ ภาพ

ฐานพระพุทธบาทในถ้ำวัดเขาบันไดอิฐ 

ฉากมหาชาติที่วัดห้วยเสือจำนวน ๑๓ ภาพ

ธรรมาสน์ยอดนภศูลวัดหนองจอก อำเภอท่ายาง

แกะลายจั่วอุโบสถวัดบางตะบูน ๒ ตัว

ปั้นพระประธานพระอัครสาวกวัดถ้ำแกลบ

เขียนภาพสมุดพระมาลัย วัดวังไคร้

เขียนซ่อมภาพขรัวอินโข่งในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตอนพระพุทธเจ้าทรงรับข้าวมธุปายาสและพระพุทธเจ้าลอยถาด

ท่านรับเชิญให้เป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนช่างศิลป์ กรมศิลปากร ตั้งแต่วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑ เป็นเวลานานถึง ๑๖ ปี จึงได้ลาออกจากโรงเรียนเนื่องจากโรคชรา และกลับมาอยู่ที่เพชรบุรี เมื่อท่านลาออกจากราชการกลับมาอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ท่านได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งเขียนตำราสถาปัตยกรรมไทย เพื่อเผยแพร่ศิลปะไทย

อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๓ อายุ ๗๖ ปี

๑.ฉากมหาชาติกัณฑ์ทศพร

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์ทศพร

ทศพร แปลว่า พร ๑๐ ประการ กัณฑ์นี้กล่าวถึงเทพธิดาชื่อว่าผุสดีซึ่งเป็นมเหสีของพระอินทร์ ขอพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์ ในวันที่พระนางจะจุติจากสวรรค์ดาวดึงส์มาเกิดยังโลกมนุษย์

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพพระนางผุสดีประนมหัตถ์รับพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์แวดล้อมด้วยฉากอุทยานสวรรค์ มีต้นไม้ใหญ่น้อย และสัตว์ประกอบในภาพได้แก่ ไก่ เนื้อทราย และกระต่าย  

พร ๑๐ ประการ ที่พระนางผุสดีทูลขอต่อพระอินทร์ มีดังนี้

            ๑. ขอให้พระนางได้ประทับในปราสาทพระเจ้าสีวีราช

            ๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงาม และดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย

            ๓. ขอให้ขนคิ้วเรียวงามขำบริสุทธิ์ดุจสร้อยคอนกยูง

            ๔. ขอให้มีนามว่า ผุสดี

            ๕. ขอให้มีพระโอรสที่ทรงเกียรติยิ่งกว่ากษัตริย์ทั้งหลาย และมีพระราชศรัทธาในการกุศล

            ๖. ขออย่าให้พระครรภ์ปรากฏนูนดังสตรีสามัญ

            ๗. ขออย่าให้พระถันทั้งคู่หย่อนยาน

            ๘. ขอให้พระเกศาดำขลับตลอดไป

            ๙. ขอให้มีพระฉวีวรรณผุดผ่อง

            ๑๐. ขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษประหารให้พ้นโทษได้ ตามพระวินิจฉัยอันรอบคอบของพระนาง

 การตีความ “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” เป็นภาพจิตรกรรม

พระอินทร์ประทับบนแท่นศิลาอันมีชื่อว่า “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” พระเลิศเขียนภาพแท่นศิลานี้เป็นลายแบบหินอ่อน ซึ่งเป็นหินที่นิยมนำเข้าจากยุโรปมาตกแต่งสถาปัตยกรรมตามพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ส่วนพื้นท่านเลือกใช้สีเหลืองประดับลายดอกไม้ร่วง การเลือกใช้สีเหลืองนี้ตรงกับคำอธิบายความหมายของ “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” คือ แท่นหินมีสีดุจผ้ากัมพลเหลือง เป็นที่สถิตของพระอินทร์

๒.ฉากมหาชาติกัณฑ์หิมพานต์

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์หิมพานต์

หิมพานต์ คือ ป่าหิมพานต์ เป็นกัณฑ์ที่ว่าด้วยการบริจาคช้างสำคัญของพระเวสสันดร อันเป็นเหตุให้พระองค์ต้องออกไปอยู่ป่าหิมพานต์

พระนางผุสดีจุติจากสวรรค์มาประสูติเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามัทราช เมื่อเจริญวัย ๑๖ พรรษาได้รับการอภิเษกเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสญชัย กษัตริย์แห่งพระนครสีพี ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสพระนามว่า “พระเวสสันดร”ในวันเดียวกับที่ประสูติพระโอรส นางช้างฉัททันต์ได้ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์ ได้ชื่อว่า “ปัจจัยนาค” เป็นช้างมีคุณบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ต่อมาพระเจ้าสญชัยได้อภิเษกสมรสให้กับพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี มีพระโอรสธิดา คือ พระชาลี พระกัณหา พระเวสสันดรทรงมีพระทัยไปในทางบริจาคทาน คราวหนึ่งพระองค์ประทานช้างปัจจัยนาคให้แก่พราหมณ์ ๘ คนจากเมืองกลิงคราษฎร์ที่ประสบปัญหาฝนแล้ง เป็นเหตุให้ชาวนครสีพีไม่พอใจ ทูลขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศพระเวสสันดรไปสู่ป่าหิมพานต์

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพพระเวสสันดรประทับอยู่บนช้างปัจจัยนาค ทรงหลั่งทักษิโณทกประทานช้างปัจจัยนาคแก่พราหมณ์ทั้ง ๘ จากเมืองกลิงคราษฎร์ ประกอบฉากด้วยภาพขุนนางตามเสด็จพระเวสสันดร และศาลาโรงทานข้างกำแพงพระราชวังนครสีพี

สีผิวของพราหมณ์กลิงคราษฎร์

กลิงคราษฎร์เป็นชื่อแคว้นโบราณในอินเดียใต้ตั้งอยู่ที่แนวฝั่งทะเลระหว่างแม่น้ำมหานทีกับแม่น้ำโคทาวรี โดยการรับรู้ของคนสมัยโบราณ เข้าใจว่าพวกแขกกลิงค์เป็นชาวอินเดียใต้พวกหนึ่งที่มีผิวดํา พระเลิศจึงได้วาดภาพพราหมณ์ชาวเมืองกลิงคราษฎร์ให้ส่วนใหญ่มีผิวคล้ำต่างจากพระเวสสันดรและขุนนางชาวนครสีพี

 เครื่องแต่งกายขุนนางตามเสด็จ

ยุครัชกาลที่ ๖ ที่พระเลิศเขียนภาพชุดนี้ขึ้นมาเป็นยุคที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายข้าราชการมาเป็นการนุ่งผ้าม่วงใส่เสื้อราชประแตนกันแล้ว แต่พระเลิศยังเขียนภาพขุนนางตามเสด็จพระเวสสันดรตามแบบโบราณอยู่ คือสวมเสื้อผ้าอัตลัต และนุ่งโจงกระเบน ส่วนควาญช้างพระที่นั่งใส่เสื้อครุยสวมลอมพอกอย่างพนักงานเข้ากระบวนแห่ 

๓.ฉากมหาชาติกัณฑ์ทานกัณฑ์

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์ทานกัณฑ์

เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานช้างปัจจัยนาคให้แก่พราหมณ์ชาวกลิงคราษฎร์ ชาวนครสีพีก็พากันโกรธ กล่าวโทษพระเวสสันดรต่อพระเจ้ากรุงสญชัยให้ขับพระเวสสันดรออกจากพระนคร พระนางผุสดีไปเฝ้าทูลขอโทษต่อพระเจ้ากรุงสญชัยก็ไม่ทรงโปรดพระราชทาน ก่อนออกจากพระนครพระเวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญสัตตสดกมหาทาน คือการทำทานครั้งใหญ่โดยให้สิ่งของ ๗ อย่าง อย่างละ ๗๐๐ ได้แก่ ช้าง ม้า รถ สตรี แม่โคนม ทาสชาย ทาสหญิง เมื่อพระราชทานแล้วพระเวสสันดรเสด็จทรงราชรถออกจากพระนครพร้อมด้วยพระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา ระหว่างทางมีพราหมณ์มาทูลขอม้าทรงและราชรถ ก็ทรงบริจาคให้เป็นทาน

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพพระเวสสันดรทรงราชรถเทียมด้วยม้าเสด็จออกจากนครสีพีพร้อมด้วยพระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา ระหว่างทางได้ทรงบริจาคทานแก่ราษฎร

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์ทานกัณฑ์ ๒๐๙ พระคาถา พ่อเสริมแม่เลื่อนพ่อรัดศร้างไว้สำหรับ วัดขุนตรา ท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการพระเลิศผู้เขียน สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

๏ กัณฑ์ทานกัณฑ์ ๒๐๙ พระคาถา พ่อเสริม แม่เลื่อน พ่อรัด สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา ท่านอาจารย์เซ่งผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา

โปรยทานผลมะนาว

พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา ร่วมกันบริจาคทานแก่ราษฎร พระเลิศแสดงภาพการบริจาคทานในรูปแบบการทรงโปรยผลมะนาว ในพระหัตถ์ของพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา ล้วนมีผลมะนาวที่หยิบขึ้นมาทรงโปรยบริจาคทาน และด้านข้างราชรถมีราษฎรเข้าไปรับทานที่อยู่ในผลมะนาว บ้างก็ชูมือขึ้นรับ บ้างก็ยกหมวก งอบ กระจาด ขึ้นรับด้วยหวังว่าลูกมะนาวจะได้ตกลงในภาชนะ ด้านขวาของภาพมีชาวจีนไว้ผมเปียอยู่กับชาวนครสีพีเข้ามารับทานผลมะนาวด้วย

การให้ทานด้วยผลมะนาวเป็นธรรมเนียมโบราณ ปฏิบัติสืบกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อย (ข้อมูลจากจิตรกรรมฝาผนังวัดเกาะ) ตามคติไตรภูมิเชื่อว่ามีต้นไม้วิเศษชื่อว่าต้นกัลปพฤกษ์ เป็นต้นไม้ในอุตรกุรุทวีป สวรรค์ และยุคสมัยของพระศรีอาริยเมตไตรย ต้นกัลปพฤกษ์ออกผลแก้วแหวนเงินทอง ข้าวของเสื้อผ้า ข้าวปลาอาหาร ใครต้องการก็ไปสอยเอาจากต้นนี้ คนโบราณท่านให้ทานโดยการสร้างต้นกัลปพฤกษ์จำลองขึ้นมา นำเงินยัดใส่ไปในผลมะนาว แล้วเอาไปแขวนไว้บนต้นกัลปพฤกษ์จำลองนี้ ถึงเวลาให้ทานก็จะมีคนขึ้นไปปลิดผลมะนาวทิ้งลงมา ธรรมเนียมการให้ทานด้วยผลมะนาวที่มีเงินยัดอยู่ข้างในจึงสืบมาแต่คติต้นกัลปพฤกษ์ ภายหลังแม้จะไม่ได้สร้างต้นกัลปพฤกษ์แล้วแต่ก็ยังมีธรรมเนียมการให้ทานด้วยการโปรยผลมะนาวยัดเงินอยู่ ดังที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมนี้

 ๔.ฉากมหาชาติกัณฑ์วนประเวสน์

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์วนประเวสน์

เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานม้าและราชรถแล้ว พระองค์จึงอุ้มพระชาลี พระนางมัทรีอุ้มพระกัณหาเสด็จดำเนินโดยสถลมรรคถึงเมืองเจตราช พวกเจ้าเจตราชทราบข่าวพระเวสสันดร พากันเสด็จมาเฝ้าทูลถวายพระนครให้ครอบครอง พระองค์มิได้ทรงรับ เจ้าเจตราชส่งเสด็จพระเวสสันดรไปเขาวงกต แล้วตั้งนายพรานเจตบุตรให้เป็นนายด่านรักษาประตูป่าคอยระวังไม่ให้ผู้ใดตามไปรบกวนขอทานต่อพระเวสสันดร พระเวสสันดรเสด็จต่อไปถึงอาศรมในบริเวณเขาวงกตซึ่งพระอินทร์ให้วิศวกรรมเนรมิตไว้ แล้วทรงเพศเป็นดาบส พระนางมัทรีก็ทรงเพศเป็นดาบสินี บำเพ็ญพรตอยู่ในพระอาศรมนั้น

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพพระเวสสันดรอุ้มพระชาลี พระนางมัทรีอุ้มพระกัณหาเสด็จดำเนินโดยพระบาทออกจากเมืองเจตราชไปยังเขาวงกต

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์วัณประเวส ๕๗ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการพระเลิศผู้เขียนพ่อเหร่แม่เล็ก นางอุ่มศร้างไว้สำหรับ  วัดขุนตราสำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

๏ กัณฑ์วนประเวสน์ ๕๗ พระคาถา ท่านอาจารย์เซ่งผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน พ่อเหร่ แม่เล็ก นางอุ่ม สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา

สี่กษัตริย์เดินดง

เหตุการณ์ในเวสสันดรชาดก กัณฑ์วนประเวสน์ ตอนที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี พระกัณหาเสด็จดำเนินโดยพระบาทต่อจากเมืองเจตราชไปยังเขาวงกต เป็นเรื่องราวที่รับรู้แพร่หลายในหมู่ญาติโยมที่ไปฟังเทศน์มหาชาติ พระนักเทศน์นักแหล่ได้แต่งเนื้อแหล่นอกขึ้นมาสำหรับประกอบการเทศน์แหล่เวสสันดรชาดก มีชื่อว่า “แหล่สี่กษัตริย์เดินดง” เนื้อความพรรณนาการเดินเข้าป่าดงของกษัตริย์ทั้งสี่ และระหว่างทางได้ทอดพระเนตรนก ไม้ สิงสาราสัตว์ต่างๆ พระเลิศเขียนฉากมหาชาติกัณฑ์นี้ออกมาได้สอดคล้องกับเนื้อความในคัมภีร์และแหล่นอกสี่กษัตริย์เดินดง โดยเขียนฉากป่าดงมีเมืองเจตราชอยู่ไกลลิบในรูปแบบอาคารยุโรปทางด้านหลัง เขียนต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ป่า เช่น แพะ กระต่าย นกต่าง ๆ ประกอบภาพ

๕.ฉากมหาชาติกัณฑ์ชูชก

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์ชูชก

ชูชกเป็นพราหมณ์บ้านทุนนวิฐขอทานหาเลี้ยงชีพ ขอเงินมาได้มากจึงนำไปฝากพ่อแม่ของนางอมิตตดาไว้ แต่พ่อแม่อมิตตดาใช้เงินที่ฝากไว้จนหมด เมื่อชูชกมาทวงเงินจึงต้องยกนางอมิตตดาให้ไปเป็นภรรยาชูชก ชูชกได้นางอมิตตดาพาไปอยู่บ้านทุนวิฐ พราหมณ์หนุ่ม ๆ เห็นนางปฏิบัติผัวดีกว่าเมียของตัว ก็เดือดใจพาลพาโลตีเมียของตน พวกนางพราหมณีเจ็บใจ พอเห็นนางอมิตตดามาสู่ท่านํ้าเพื่อจะตักน้ำไปใช้ ก็รุมกันตีด่าว่าขานจนนางอมิตตดาต้องกลับบ้าน ชูชกเห็นนางเดินร้องไห้กลับมาจึงถามเหตุ นางก็แจ้งคดีให้ฟังแล้วว่า แต่นี้ไปงานการจะไม่ทำ จงไปขอพระชาลี พระกัณหามาให้ใช้ ชูชกรับอาสาไปขอชาลีกัณหา ออกเดินทางเที่ยวถามไปทุกหนแห่ง แล้วก็เข้าสู่ดงแดนเจตบุตร

 พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพเหล่านางพราหมณีชาวบ้านทุนนวิฐรุมกันตีด่าว่าขานนางอมิตตดา ตอนที่นางลงมาตักน้ำที่ท่าน้ำ

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์ชูชก ๗๙ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งเป็นผู้จัดการพระเลิศผู้เขียนแม่เย็นพ่อชุ่มพ่อหย่อยศร้าง

ไว้สำหรับวัดขุนตราสำเร็จเมื่อเดือน ๘ แรม ๑๕ ค่ำพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษาขอให้ถึงพระนิพพาน

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

๏ กัณฑ์ชูชก ๗๙ พระคาถา ท่านอาจารย์เซ่งเป็นผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน แม่เย็น พ่อชุ่ม พ่อหย่อย สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จเมื่อเดือน ๘ แรม ๑๕ ค่ำ พระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา ขอให้ถึงพระนิพพาน

หมู่นางพราหมณีรุมด่านางอมิตตดา

พระเลิศเขียนภาพตอนนี้สื่ออารมณ์ถึงความวุ่นวายของเหตุการณ์ที่เหล่านางพราหมณีชาวบ้านทุนนวิฐรุมกันตีด่าว่าขานนางอมิตตดาที่นางลงมาตักน้ำที่ท่าน้ำได้อย่างดี นางพราหมณี ๙ คน รุมนางอมิตตดาอยู่คนเดียว บางคนเข้าแย่งถอดผ้าผ่อนของนางอมิตตดา บ้างก็กันหน้ากันหลังไม่ให้นางอมิตตดาหนีไปได้ นางพราหมณีบางคนแสดงท่าทางเป็นอวัจนภาษาสื่อถึงคำด่าทอ เช่น ให้มะเหงก ชูสาก ยกหัวเข่า ชี้หน้า แลบลิ้นปลิ้นตา ถกผ้าใส่ ฉากหลังเป็นหมู่บ้านทุนนวิฐ แสดงภาพเรือนไทยฝาสำหรวดตามความนิยมของเรือนไทยเมืองเพชรบุรี มีเป็ดไก่หากินอยู่ตามพื้นดิน ริมฝั่งน้ำมีสะพานทอดลงไปเพื่อตักน้ำ ในน้ำเขียนภาพกุ้ง ปลา และมีปลาเสือพ่นน้ำรวมอยู่ด้วย

๖.ฉากมหาชาติกัณฑ์จุลพน

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์จุลพน

ชูชกเดินทางไปเขาวงกตเข้าเขตด่านที่พรานเจตบุตรดูแลอยู่ สุนัขของพรานเจตบุตรเห็นชูชกก็รุมไล่กัด ชูชกหนีปีนขึ้นต้นไม้ พรานเจตบุตรเห็นก็ขู่ว่าจะยิงด้วยหน้าไม้ ชูชกดีแก้ตัวว่าเป็นทูตของพระเจ้ากรุงสญชัยจะไปเชิญพระเวสสันดรกลับกรุงสีพี พรานเจตบุตรเชื่อผูกสุนัขเข้ากับโคนไม้ ต้อนรับชูชก ถามว่าอะไรอยู่ในย่าม  ชูชกชี้ไปที่กลักพริกกลักงาว่าเป็นกลักพระราชสาร เจตบุตรเชิญชูชกขึ้นไปบนเรือน เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี แล้วก็พาออกไปชี้ทางที่จะไปสู่เขาวงกต และว่าจะไปพบกับพระอัจจุตฤๅษี

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพสุนัขของพรานเจตบุตรรุมไล่กัด ชูชกหนีปีนขึ้นต้นไม้ พรานเจตบุตรกำลังทำท่าขู่จะยิงชูชกด้วยหน้าไม้ ไกลออกไปเขียนภาพเหตุการณ์ต่อเนื่องที่พรานเจตบุตรชี้ทางไปเขาวงกตแก่ชูชก

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์จุลพล ๓๕ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการพระเลิศผู้เขียนพ่อโต้แม่อ่ำ

นายผวนศร้างไว้สำหรับ วัดขุนตราสำเร็จพระเมือพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

 ๏ กัณฑ์จุลพน ๓๕ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน พ่อโต้ แม่อ่ำ นายผวน สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จพระเมื่อพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา

เจตบุตรเป็นพรานป่าเลี้ยงสุนัขไว้ช่วยไล่เนื้อตามวิสัยพรานป่า พระเลิศเลือกเขียนเหตุการณ์ตอนสุนัขของพรานเจตบุตรรุมไล่กัด ชูชกหนีปีนขึ้นต้นไม้ โดยเขียนภาพสุนัขให้มีสีดำ สีแดง(น้ำตาลแดง) และลายด่าง พรานเจตบุตรยกหน้าไม้จ่อยิงชูชก และชูชกมีสีหน้าตกใจกลัว

พระเลิศใช้เทคนิคการผลักระยะใกล้ไกลในภาพโดยการใช้แนวถนน ต้นไม้ แสดงระยะไกลออกไป และมีการเขียนภาพชูชกกับพรานเจตบุตรเป็นภาพซ้อนเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่องในระยะไกล

๗.ฉากมหาชาติกัณฑ์มหาพน

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์มหาพน

ชูชกเดินทางมาถึงอาศรมพระอัจจุตฤๅษี จึงเข้าไปถามไถ่ทุกข์สุข แล้วหลอกพระฤาษีว่าตนเป็นสหายของพระเวสสันดร จะเดินทางไปสนทนาธรรมกับพระเวสสันดร พระอัจจุตฤๅษีแล้วให้ชูชกพักอยู่หนึ่งคืน รุ่งขึ้นจึงพาไปชี้ทางให้ชูชกไปสู่เขาวงกต พระอัจจุตฤๅษีพรรณนาพรรณสัตว์ และพรรณไม้นานาชนิด ใกล้อาศรมพระเวสสันดร

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพชูชกเข้าไปกราบนมัสการพระอัจจุตฤๅษี ไกลออกไปเขียนภาพเหตุการณ์ต่อเนื่องที่พระอัจจุตฤๅษีชี้ทางไปเขาวงกตแก่ชูชก

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์มหาพล ๘๐ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการพระเลิศผู้เขียนพ่อแสง

แม่แมะนางสายนางเสริมศร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จพระเมือพุทธศักราช ๒๔๖๒ พรรษา

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

๏ กัณฑ์มหาพน ๘๐ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน พ่อแสง แม่แมะ นางสาย นางเสริม สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จพระเมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๒ พรรษา

 ลิงต้มน้ำร้อน

พระเลิศเขียนภาพอาศรมพระอัจจุตฤๅษีเป็นอาคารเครื่องก่อทรงไทย ยื่นออกมาจากโถงถ้ำข้างโขดเขา มีกำแพงแก้วก่อรอบอาศรม ระหว่างที่ชูชกสนทนากับพระอัจจุตฤๅษี มีลิงสองตัวพัดเตาต้มน้ำร้อนอยู่ข้างอาศรมพระอัจจุตฤๅษี การเขียนภาพลิงต้มน้ำร้อนเช่นนี้ ยังปรากฏในจิตรกรรมของอาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช เรื่องเวสสันดร กัณฑ์มหาพน ในที่อื่นด้วย เช่น จิตรกรรมเรื่องเดียวกันของท่านบนฝาผนังพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี

๘.ฉากมหาชาติกัณฑ์กุมาร

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์กุมาร

ฉากมหาชาติกัณฑ์กุมาร วัดขุนตรา เนื้อหา ฉากมหาชาติ กัณฑ์กุมาร วัดขุนตรา พระอาจารย์เซ่ง เป็นผู้รวบรวมศรัทธา และจ้างพระเลิศ (อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช) เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ เขียนภาพพระเวสสันดรลงจากคันธกุฎี ลงไปตามตัวพระชาลี และพระกัณหา ที่หนีลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระโบกขรณี พื้นหลังเขียนภาพทิวทัศน์และสัตว์ป่าต่าง ๆ

เพชรบุรีเป็นเมืองที่มีธรรมเนียมนิยมในการฟังเทศน์มหาชาติ วัดต่างๆ มีการจัดเทศน์มหาชาติประจำทุกปี นอกจากจะมีการเทศน์มหาชาติในวัดแล้ว ตามหมู่บ้านต่างๆ ก็ยังนิยมจัดเทศน์มหาชาติ หรือที่เรียกว่าเทศน์คาถาพัน และในระดับครอบครัวก็ยังมีธรรมเนียมการจัดเทศน์คาถาพันในบ้าน ในฐานะบุคคล บุญของการเป็นเจ้าภาพจัดเทศน์คาถาพันเป็นหนึ่งในสามบุญที่ถือว่าได้กุศลแรง ได้แก่ บุญบวชลูก บุญทอดกฐิน และบุญเทศน์คาถาพัน

เมื่อมีค่านิยมในการฟังเทศน์มหาชาติ จึงมีพระสงฆ์หัดเทศน์มหาชาติกันมาก โดยมีอาจารย์ผู้ฝึกหัดทั้งพระสงฆ์และฆราวาส ตลอดจนมีการแต่งและคัดลอกมหาชาติสำนวนต่างๆออกไปอย่างแพร่หลาย

พบหลักฐานค่านิยมการจัดเทศน์มหาชาติในสมัยรัชกาลที่ ๒ ดังปรากฏในแผ่นไม้จารึกการสร้างอุโบสถวัดศาลาเขื่อน อ.บ้านลาด ว่า

“พุทธศักราชไทย ๒๓๕๔ พระวสา ปีวอก จัตวาศก ตามากบานขนอน ตามีศาลาเขียน นายมีบานลหานนอย นายเพชรบานปากเหมือง ชวนกันใหยมีมหาชาดวัดศาลาเขียนสามปีได้เงิน ๔ ชั่ง ๗ ตำลึง ๓ สลึง ๑ เฟื้อง สางอุโบสถสิ่นเงินทองกันนั้น แล้วยังใมยภอทายกผู้มีชืเปนอันมากชวยเปนเงิน ๒ ชั่ง ๑๓ ตำลึง แล้วเสดเปนเงินเจดชังสามส่ลิงเฟื่อง”

ส่วนในวรรณกรรมเรื่องเณรเภา ซึ่งเป็นกลอนสวด พบที่วัดโคก ระบุนามพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงในสมัยที่แต่งวรรณกรรม ได้แก่ ขรัวสาเทศน์กัณฑ์ชูชก ขรัวมาวัดโคกเทศน์กัณฑ์มหาราช

ค่านิยมในการจัดให้มีเทศน์มหาชาติ มีอิทธิพลต่อการเขียนภาพจิตรกรรมเรื่องมหาชาติ หรือเวสสันดรชาดกทั้ง ๑๓ กัณฑ์ไว้ในแหล่งต่าง ๆ เช่น จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมบนแผ่นไม้คอสอง จิตรกรรมบนผืนผ้าพระบฏ จิตรกรรมฉากมหาชาติที่เขียนบนแผ่นไม้หรือแผ่นกระดาษใส่กรอบแขวน ทั้งภาพพระบฏและฉากมหาชาติล้วนใช้แขวนประกอบพิธีเทศน์มหาชาติประจำปีทั้งสิ้น

เพชรบุรีมีฉากมหาชาติเก็บรักษาไว้ตามวัดต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก และมีช่างหลายท่านได้ฝากฝีมือไว้ในฉากมหาชาติเหล่านี้ เช่น ฉากมหาชาติ วัดยาง ฝีมือครูหวน ตาลวันนา ฉากมหาชาติ วัดพระทรง ฝีมือพระอาจารย์เป้า ญาณปญฺโญ ฉากมหาชาติ วัดพลับพลาชัย วัดแก่นเหล็ก วัดห้วยเสือ วัดขุนตรา ฝีมือครูเลิศ พ่วงพระเดช

ฉากมหาชาติวัดขุนตราฉากนี้เขียนเป็นภาพเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร มีพระเวสสันดร กัณหา ชาลี อยู่ในภาพ ด้านหลังเป็นภาพทิวทัศน์ อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วาดภาพนี้ขณะที่บวชเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๒

 

๙.ฉากมหาชาติกัณฑ์มัทรี

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์มัทรี

พระนางมัทรีออกไปหาผลาผลแล้วจึงรีบเสด็จกลับอาศรม แต่มาพบกับพญาราชสีห์ พญาเสือโคร่ง พญาเสือเหลือง ซึ่งเป็นเทพยดาจำแลงมานอนขวางทาง เพื่อถ่วงเวลาพระนางไว้ พระนางตกพระทัยกลัวปลงหาบผลไม้ลงแล้วกราบขอทาง เทพยดาสังเวชสงสารก็พากันหลีกทางให้หนทาง

พระนางมัทรีเสด็จถึงอาศรมไม่เห็นพระโอรสพระพระธิดา จึงทูลถามพระเวสสันดร ท้าวเธอก็ทรงนิ่ง แต่กลับตรัสพ้อพระนางด้วยเรื่องหึงหวงเพื่อให้พระนางลืมเรื่องพระโอรส พระธิดา พระนางเที่ยวแสวงหาพระพระโอรส พระธิดา ตามป่าละเมาะเขาเขินจนทั่วบริเวณพระอาศรม ก็มิได้พบพระโอรส พระธิดา

พระนางมัทรีจึงเสด็จไปที่หน้าพระอาศรม ทรงพระกำสรดสิ้นแรงถึงสลบลง พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นพระมัทรีถึงวิสัญญีสลบลง พระเวสสันดรแก้ไขจนพระนางมัทรีฟื้น เมื่อได้อธิบายเหตุผลแล้ว พระนางมัทรีจึงทรงอนุโมทนา

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพพระนางมัทรีออกไปหาผลาผลแล้วจึงรีบเสด็จกลับอาศรม แต่มาพบกับพญาราชสีห์ พญาเสือโคร่ง ซึ่งเป็นเทพยดาจำแลงมานอนขวางทาง พระนางตกพระทัยกลัวปลงหาบผลไม้ และไม้สอยลงแล้วกราบขอทาง

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์มัทรี ๙๐ พระคาถาท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการพระเลิศผู้เขียน แม่อุ่มศร้าง

ไว้สำหรับ วัดขุนตรา สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา ๚๛

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

 ๏ กัณฑ์มัทรี ๙๐ พระคาถาท่านอาจารย์เซ่งผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน แม่อุ่มสร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา ๚๛

พระเลิศเขียนฉากทิวทัศน์ของภาพนี้ได้งดงาม มีภาพทิวทัศน์ตามระยะใกล้ ไกล พระนางมัทรีนุ่งห่มหนังเสือตามเพศดาบสินี แต่สัตว์ทั้งสามที่เป็นเทวดาแปลงมาเขียนต่างไปจากคัมภีร์ คือ ในคัมภีร์ระบุว่าเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง แต่ในภาพเขียนของพระเลิศเป็นราชสีห์ และเสือโคร่งสองตัว ไกลออกไปเป็นภาพเสือโคร่งอีกตัวกำลังจับเนื้อทรายกิน

๑๐.ฉากมหาชาติกัณฑ์สักกบรรพ

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์สักกบรรพ

ท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์)เกรงว่าจะมีผู้มาขอพระนางมัทรีไปอีก จึงทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์มาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดรก็ทรงบำเพ็ญทานบริจาคให้แก่พราหมณ์ เมื่อพระอินทร์ได้รับพระราชทานพระนางมัทรีแล้วก็ถวายคืน แล้วทูลขอว่าห้ามพระราชทานนางแก่ผู้ใดอีก พร้อมทั้งถวายพระพร ๘ ประการ ให้แก่พระเวสสันดร แล้วจึงเสด็จกลับสู่สวรรค์ พร ๘ ประการนั้น ประกอบด้วย

            ๑. ให้ทรงได้รับอภัยโทษ

            ๒. ให้ทรงช่วยคนถูกฆ่าได้

            ๓. ให้ไพร่ฟ้าได้พึ่งพา

            ๔. ให้มั่นคงในมเหสี ไม่ลุ่มหลงสตรีอื่น

            ๕. ให้ได้สืบสันติวงศ์

            ๖. ให้มีสิ่งของบริจาคทานมิสิ้น

            ๗. ให้มีอาหารทิพย์พอเพียงทุกรุ่งเช้า

            ๘. ให้ได้สำเร็จพระโพธิญาณ

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพพระอินทร์เหาะลงมาจากสวรรค์ดาวดึงส์ แล้วแปลงเพศเป็นพราหมณ์มาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดรก็ทรงบำเพ็ญทานบริจาคพระนางมัทรีให้แก่พราหมณ์ โดยจับพระหัตถ์พระนางมัทรียกให้ แล้วหลั่งทักษิโณทกแก่พราหมณ์

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์สักบัท ๔๓ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งเปนผู้จัดการพระเลิศผู้เขียน แม่เอม

แม่เฮียะ พ่อลุ้ย ศร้างไว้สำหรับวัดขุนตราสำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา ๚๛

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

๏ กัณฑ์สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา ท่านอาจารย์เซ่งเป็นผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน แม่เอม

แม่เฮียะ พ่อลุ้ย สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา ๚๛

พระเลิศเขียนฉากนี้โดยให้องค์ประกอบหลักของภาพอยู่ที่เหตุการณ์พระเวสสันดรพระราชทานพระนางมัทรีแก่พราหมณ์ โดยเขียนสีกายของพราหมณ์ด้วยสีเขียวซึ่งเป็นสีกายของพระอินทร์ เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าพราหมณ์แปลงคือพระอินทร์ และยังเขียนภาพพระอินทร์เหาะจากฟ้าลงมาที่อาศรมพระเวสสันดรเป็นการเล่าเรื่องด้วยเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันด้วย

ข้างอาศรมพระเวสสันดรมีโอ่งน้ำตั้งอยู่ เป็นโอ่งมังกร โอ่งชนิดนี้เป็นของใช้ตามบ้านเรือนร่วมสมัยกับยุคที่เขียนภาพ เดิมเป็นของนำเข้าจากเมืองจีน ต่อมาราวยุคพ.ศ. ๒๕๘๐ –พ.ศ. ๒๔๙๐ จึงได้มีการผลิตโอ่งชนิดนี้ที่ราชบุรี และจันทบุรี ปัจจุบันคือโอ่งที่เรียกกันว่าโอ่งมังกร

๑๑.ฉากมหาชาติกัณฑ์มหาราช

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์มหาราช

ชูชกพาสองกุมารเดินทางออกจากอาศรมพระเวสสันดร เวลาคํ่าชูชกก็ผูกเปลนอนบนต้นไม้ แล้วผูกมัดพระชาลี พระกัณหา ไว้โคนต้นไม้ เมื่อชูชกหลับเทพยดาก็จำแลงมาเป็นพระเวสสันดร และพระมัทรีช่วยอภิบาลบำรุงรักษาสองกุมาร

เมื่อออกจากป่าชูชกพาสองกุมารหลงมายังกรุงสีพี แล้วผ่านมาตรงหน้าพระที่นั่ง พระเจ้ากรุงสญชัย ให้พาพราหมณ์ชูชกมาเฝ้า ทราบความแล้ว ทรงไถ่พระเจ้าหลานทั้งสองด้วยพระราชทรัพย์ จากนั้นพระเจ้ากรุงสญชัย ยกทัพไปรับพระเวสสันดร โดยให้พระเจ้าหลานนำทัพไปยังเขาวงกต

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพชูชกก็ผูกเปลนอนบนต้นไม้ แล้วผูกมัดพระชาลี พระกัณหา ไว้โคนต้นไม้ เมื่อชูชกหลับเทพยดาก็จำแลงมาเป็นพระเวสสันดร และพระมัทรีช่วยอภิบาลบำรุงรักษาสองกุมาร

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์มหาราช ๖๙ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งผู้จัดการพระเลิศผู้เขียนพ่อเขียวแม่เจิม

นางคำศร้างไว้สำหรับ  วัดขุนตราสำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา ๚๛

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

๏ กัณฑ์มหาราช ๖๙ พระคาถา ท่านอาจารย์เซ่งผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน พ่อเขียว แม่เจิม

นางคำ สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๖๒ พรรษา ๚๛

พระเลิศเขียนฉากนี้เลือกเหตุการณ์ตอนชูชกก็ผูกเปลนอนบนต้นไม้ แล้วผูกมัดพระชาลี พระกัณหา ไว้โคนต้นไม้ เมื่อชูชกหลับเทพยดาก็จำแลงมาเป็นพระเวสสันดร และพระมัทรีช่วยอภิบาลบำรุงรักษาสองกุมาร เวลาตามเหตุการณ์เป็นช่วงกลางคืน ดังนั้นท่านจึงเลือกใช้สีของบรรยากาศและทิวทัศน์เป็นสีเทาดำ ทั้งภูเขา ท้องฟ้า ต้นไม้ และยังเขียนภาพพระจันทร์สีเหลืองแสดงสัญลักษณ์ของเวลากลางคืน ส่วนภาพพระชาลี พระกัณหา และเทพยดาจำแลง ท่านเลือกใช้สีสว่างเฉพาะที่ตัวบุคคลเพื่อให้มีความโดดเด่นตามเหตุการณ์ของเรื่อง

ในส่วนของภาพประกอบ พระเลิศเขียนภาพวัวแดงคู่หนึ่งกำลังนอนในเวลากลางคืน ส่วนกระต่ายสองคู่ออกมาเล่นแสงจันทร์ บนต้นไม้ที่ชูชกผูกเปลมีลิงสามตัว ตัวหนึ่งขึ้นไปเล่นบนตัวชูชก ตัวหนึ่งขโมยไม้เท้า และอีกตัวหนึ่งกำลังล้วงย่ามของชูชก บนต้นไม้ไกลออกไปยังมีภาพนกและชะนีด้วย

๑๒.ฉากมหาชาติกัณฑ์ฉกษัตริย์

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์ฉกษัตริย์

พระเวสสันดร ได้ยินเสียงกองทัพที่ยกเข้ามาในเขาวงกต ทรงตกพระทัยเข้าใจไปว่าข้าศึกจะมาจับพระองค์ จึงชวนพระมัทรีเสด็จขึ้นเนินเขา พระนางกราบทูลว่าเป็นทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยเสด็จมารับ สมตามที่ท้าวสักกเทวราชประทานพร เมื่อพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา ปนะทับพร้อมกันที่อาศรม ต่างก็ทรงโศกสลดที่พลัดพรากจากกัน จนถึงวิสัญญีภาพเป็นลมสลบไป เมื่อฝนโบกขรพรรษตกลงต้องพระวรกายจึงได้ฟื้นคืนพระสติ พระเวสสันดร และพระนางรับการทูลเชิญเสด็จกลับพระนครสีพี

พระเลิศเขียนฉากนี้เป็นภาพพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา ประทับพร้อมกันที่อาศรม ต่างก็ทรงโศกสลดที่พลัดพรากจากกัน นอกเขตกำแพงแก้วอาศรมเป็นภาพกองทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยตั้งขบวนรับเสด็จกลับเข้านคร

ด้านล่างของภาพมีกรอบจารึกข้อความว่า

๏ กัณฑ์ฉอกระษัติย์ ๓๖ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งเป็นผู้จัดการพระเลิศผู้เขียนพ่ออิ่มแม่ก้อนพ่อสอน ศร้างไว้สำหรับวัดขุนตราสำเร็จเมื่อพระพุทธศักราช ๒๔๖๒ พรรษาขอให้สำเร็จแด่พระนิพพาน เทอญ ๚๛

ถอดความเป็นคำอ่านปัจจุบัน

๏ กัณฑ์ฉกษัตริย์ ๓๖ พระคาถา ท่านอาจาริย์เซ่งเป็นผู้จัดการ พระเลิศผู้เขียน พ่ออิ่ม แม่ก้อน       พ่อสอน สร้างไว้สำหรับวัดขุนตรา สำเร็จเมื่อพระพุทธศักราช ๒๔๖๒ พรรษา ขอให้สำเร็จแด่พระนิพพานเทอญ ๚๛

พระเลิศเขียนภาพทหารในกองทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยให้มีเครื่องแต่งกายเป็นแบบ “ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป” ซึ่งเริ่มมีในสยามมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ และมีพัฒนาการเรื่อยมา ทหารที่อยู่บนคอช้างทรงใส่เสื้อราชประแตน สวมหมวกเฮลเมท ติดเครื่องยศและเหรียญตราต่าง ๆ แต่ยังถือขอสับช้างตามหน้าที่ ส่วนทหารราบที่ยืนเรียงแถวอยู่นั้น สวมหมวกทรงหม้อตาล ถือปืน ยืนเรียงลำดับตามยศ โดยสังเกตจากเครื่องหมายประดับเสื้อ เช่น นายร้อยเอก นายสิบเอก นายสิบโท นายสิบตรี พลทหาร 

๑๓. ฉากมหาชาติกัณฑ์นครกัณฑ์

ฉากมหาชาติ: ฝีมืออาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช วัดขุนตรา กัณฑ์นครกัณฑ์

ฉากมหาชาติ กัณฑ์นครกัณฑ์ วัดขุนตรา พระอาจารย์เซ่ง เป็นผู้จัดการ พ่อเยิ้ม แม่ปุ๋ย บริจาคทรัพย์สร้าง และจ้างพระเลิศ (อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช) เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ เขียนภาพขบวนเสด็จของพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระกัณหา พระชาลี เสด็จกลับเข้ากรุงสีพี ด้วยขบวนช้างพระที่นั่ง และขบวนทหารราบ ความน่าสนใจของภาพนี้อยู่ที่ พระเลิศได้เขียนภาพเครื่องบินใส่ไว้ในฉากด้วย ถือเป็นเครื่องบินที่มาเข้าร่วมขบวนรับเสด็จพระเวสสันดรกลับเข้าพระนคร

ฉากมหาชาติกัณฑ์นครกัณฑ์ วัดขุนตรา เป็นผลงานของอาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช ที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่ง ถือเป็นภาพที่มีความแปลกแหวกขนบ เหตุเพราะแต่เดิมเมื่อเขียนภาพมหาชาติกัณฑ์นครกัณฑ์ นายช่างจะนิยมเขียนเป็นภาพหกกษัตริย์ประดับช้างทรงพร้อมด้วยขบวนทหารม้า ทหารราบ เสด็จกลับเข้าวัง

แต่ในฉากมหาชาติกัณฑ์นครกัณฑ์ วัดขุนตรานี้ อาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช ตั้งใจเขียนภาพเครื่องบินลำใหญ่พร้อมนักบินบนท้องฟ้า เข้าร่วมขบวนเสด็จแสดงแสนยานุภาพของพระเจ้ากรุงสญชัย แห่งเมืองสีพี เป็นไปได้ว่าอาจารย์เลิศ พ่วงพระเดช อาจจะมีโอกาสได้เห็นเครื่องบินซึ่งเป็นของแปลกใหม่ของสยามในสมัยนั้น และเกิดความประทับใจจึงได้นำมาเขียนไว้ในฉากมหาชาติ กัณฑ์นครกัณฑ์ วัดขุนตรา

คุณนิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องบินในยุคแรกของสยามไว้ใน Facebook นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ว่า

 “ตามประวัติการบินในประเทศไทยแล้ว เครื่องบินเครื่องแรกที่เข้ามาแสดงการบินครั้งแรกในประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ต้นสมัยรัชกาลที่ ๖  นักบินชาวเบลเยี่ยมชื่อ ฟัน เดน บอร์น (Van den Born) ได้นำเครื่องบินออร์วิลล์ ไรท์ (Orville Wright) มาบินแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สนามม้าราชกรีฑาสโมสร ปทุมวัน

ในพ.ศ.๒๔๕๖ ประเทศไทยได้สั่งซื้อเครื่องบินเบรเกต์ (breguet) ปีกสองชั้น และเครื่องบินนิเออปอร์ต (nieuport) ปีกชั้นเดียว รวมทั้งหมด ๘ เครื่อง และในวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ นักบินไทยได้ทดลองบินเครื่องบินของไทยเป็นครั้งแรก ให้ประชาชนชาวไทยได้ดูการฝึกบินโฉบฉวัดเฉวียนอวดศักดาแสนยานุภาพ เสียงดังกระหึ่ม เป็นที่ตื่นตาตื่นใจกันมาก

ช่วงทดลองบินเครื่องบินเบรเกต์ปีก ๒ ชั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๖ เป็นต้นมา น่าจะเป็นปรากฏการณ์ชวนระทึกของชาวบ้านไทยเป็นอันมาก และครูช่างจิตรกรไทยคงได้ชมภาพทดลองบินในเขตภาคกลางของไทยนี้ด้วย เครื่องบินเบรเกต์จึงไปปรากฏอยู่ในจิตรกรรม”

บรรยายภาพ: ผู้ช่วยศาสตราจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี