เครื่องนุ่งห่มไม่ใช่เพียงสิ่งที่ใช้สวมใส่เพื่อปกปิดร่างกายหรือให้ความอบอุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตน ความเชื่อ และวัฒนธรรมของผู้สวมใส่ผ่านลวดลาย เนื้อผ้า ไปจนถึงรูปแบบการตัดเย็บที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งเหล่านี้ช่วยชี้ให้เห็นถึงความเป็นชาติ ภูมิลำเนา และวิถีชีวิตของผู้สวมใส่ เช่น เสื้อ ช๋าย ของชาวกะเบอะดิน(ชุมชนของชาวกะเหรี่ยงโปว์) ที่ทำจาก “ฝ้าย” แล้วย้อมด้วย “คึ่ย” ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นที่หาได้ทั่วไปในป่าบริเวณนั้น นอกจากนี้เครื่องนุ่งห่มยังเป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านของเวลาและวัฒนธรรมที่ได้ผ่านเข้ามาและผ่านออกไป จากเดิมที่เคยปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ สวมผ้าถุงและเปลือยท่อนบน ก็ได้รับอิทธิพลจากชาติอื่นๆที่เข้ามา การเคลื่อนเข้ามาของความเป็นรัฐชาตินี้ทำให้เกิดบทบาทและชนชั้นทางสังคมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้คนจึงใช้เครื่องนุ่งห่มเป็นเครื่องมือเพื่อบ่งบอกถึงชนชั้นและฐานะ เช่น การแต่งกายของกษัตริย์ที่มีความซับซ้อน ละเอียด และฟุ่มเฟือยมากกว่าชนชั้นแรงงานที่นุ่งน้อยห่มน้อยเพราะต้องทำงานใช้แรงงานเป็นประจำ
จะสังเกตุได้ว่า เครื่องนุ่งห่ม เป็นเสมือนเครื่องมือที่ช่วยแสดงให้เห็นถึงลักษณะวัฒนธรรม ภูมิประเทศ และการดำรงชีวิตของผู้สวมใส่ ดังนั้นเราจึงสังเกตลักษณะการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ต่างๆของประเทศไทยได้ผ่านการสวมใส่เครื่องนุ่งห่มของพวกเขา เช่น ภาคใต้ของประเทศไทยเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายศาสนา คือ พุทธ อิสลาม และพราหมณ์-ฮินดู พวกเขาจึงมีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์จากศาสนาที่นับถืออยู่ เช่น ศาสนาอิสลามที่เคร่งเรื่องการแต่งกายมากกว่าศาสนาอื่นๆ เพศชายมักจะสวมโสร่งทับกางเกงขายาวและสวมหมวกกะปิเยาะห์ เพศหญิงจะสวมฮิญาบที่ปิดคลุมศีรษะ และใส่เสื้อผ้าที่ปิดมิดชิดเหลือเพียงใบหน้าเท่านั้น หรืออาจเป็นความต่างที่มาจากการได้รับอิทธิพลจากภายนอกที่ทำให้ภาคกลางของประเทศไทยมีความพิถีพิถัน และเป็นทางการมากกว่าภาคเหนือและภาคอีสานที่มีความละเอียดอ่อน เรียบง่ายและปราณีตจากการทำลวดลายด้วยมือหรือเครื่องทอผ้าที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้านและวัสดุจากธรรมชาติ
นอกจากความหลากหลายทางภูมิภาคและวัฒนธรรมแล้ว เครื่องนุ่งห่มยังมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนชนชั้นทางเศรฐกิจและสังคมมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในอดีตผู้คนที่เป็นทาสหรือไพร่มักจะแต่งตัวน้อยชิ้น คือ นุ่งโจงกระเบนเพียงชิ้นเดียวหรือสองชิ้น แตกต่างจากชนชั้นปกครองที่ชุดถูกเย็บปักอย่างปราณีตและเต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย และโลกาภิวัตน์ที่เริ่มเข้ามาทำให้เครื่องนนุ่งห่มกลายเป็นเอกลักษณ์แทนยุคสมัยที่คุ้นชินและเข้าใจง่ายมากกว่า เช่น การนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตนเรามักบอกว่าการแต่งกายลักษณะนี้ต้องเป็นผู้คนในยุคสมัยหรือภายหลังราชกาลที่ 5 เพราะการแต่งกายลักษณะนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยดังกล่าว
ท้ายที่สุดเราจะเห็นได้ว่าเครื่องนุ่งห่มเป็นมากกว่าปัจจัย 4 ที่มีไว้เพื่อสวมใส่เท่านั้น เพราะเครื่องนุ่งห่มเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนให้ถึงตัวตน วัฒนธรรม และภูมิหลังของผู้ใส่เสมอมา
อ้างอิง
ธนรัชต์ ใจดี. (2566). นักทอ : วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวกะเหรี่ยงโปว์. สืบค้นจาก https://www.masscomm.cmu.ac.th/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81/
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. (2566). ประวัติ “เครื่องแต่งกาย ” เปลือยอกถึงเสื้อลูกไม้ และที่มาสมัย ร.3 “สวมเสื้อเข้ามาก็ไม่โปรด”. สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_35511
บทนิทรรศการโดย: ณัฐธยาน์ ทองอยู่ นักศึกษาคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์










