การสักในวัฒนธรรมไทยเป็นศิลปะบนเรือนร่างที่สลักลวดลายลงบนผิวหนัง ผู้มีรอยสัก บ้างสักตามธรรมเนียมและวัฒนธรรมท้องถิ่น บ้างสักเพราะกฎหมาย บ้างสักเพราะความเชื่อและความศรัทธา โดยการสักแบ่งออกได้ 4 ประเภทได้แก่ การสักลาย การสักเลก การสักหน้าผากและการสักยันต์หรืออักขระ ซึ่งประเภทของการสักมีบริบทที่แตกต่างกันออกไป ในแต่ละพื้นที่และกลุ่มคน
การสักลาย
สมัยก่อนการสักลายเป็นที่นิยมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานมาก การสักลายแสดงให้ถึงค่านิยมความสวยงามของผู้คน ผู้หญิงในสมัยโบราณนิยมชมชอบต่อผู้ชายที่มีรอยสัก หากชายใดมีรอยสักจะเป็นผู้ที่มี
ความกล้าหาญ ความอดทนและสามารถปกป้องพวกเธอได้ เพราะคนที่มีรอยสักต้องอดทนต่อความเจ็บปวด
จากการสัก ชายหนุ่มทางภาคเหนือนิยมสักจากบั้นเอวลงมาจนถึงต้นขา ชายชาวล้านนาจึงถูกเรียกว่า “ลาว
พุงดำ” และชายหนุ่มภาคอีสานนิยมสักจากโคนขาจนถึงเข่า จึงถูกเรียกว่า “ลาวพุงขาว” นอกจากนี้ค่านิยม
การสักยังบ่งบอกถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่และความเป็นชาย
การสักเลก
ระบบของกฎหมายบริหารกำลังไพร่พลทางการทหาร โดยจะสักที่ท้องแขน หน้าอกหรือข้อมือของชายหนุ่มและชายฉกรรจ์ที่อายุครบเกณฑ์ทหาร ซึ่งมีสถานะเป็นไพร่ รอยสักแต่ละที่จะเป็นการะบุว่าบุคคลนั้นอยู่สังกัดและกรมกองใด รวมถึงใครเป็นเจ้านาย นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้บุคคลเหล่านี้หนีทหารด้วย การสักเลกถูกประกาศใช้ในสมัยรัชกาลที่ 3 เฉพาะหัวเมืองลาว ผู้คนต้องหลบหนีข้ามฝั่งไปเวียงจันทน์และเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ จึงต้องยกเลิกการสักเลกชั่วคราว
การสักหน้า
การสักหน้าเป็นการสักสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายเพื่อประจานว่าเป็นนักโทษหรือผู้กระทำความผิดและต้องโทษจำคุก ซึ่งการสักมีทั้งบนแก้ม หน้าผากหรือส่วนอื่นของใบหน้าเป็นสัญลักษณ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ความผิดที่กระทำตามกฎหมาย
การสักยันต์หรือการสักอักขระ
จุดประหลักของการสักประเภทนี้คือความเชื่อและความศรัทธาด้านพุทธคุณและไสยศาสตร์ มักสักเพื่อเพิ่มพลัง อำนาจและบารมีให้กับตนเอง ตลอดจนโชคลาภ ความรักและความปลอดภัยในด้านต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับ
ลวดลายที่ต้องการสัก ผู้ชายมักนิยมสักข่ามคงมากกว่าข่ามเขี้ยวเพื่อความคงกระพัน และสักยันต์เมตตามหา
นิยมอย่างยันต์จิ้งจกคาบถุงทอง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองด้านการค้าขายหรือการเงิน ผู้หญิงบางคนก็สักเมตตา
มหานิยมเช่นกันและเคยนิยมสักข่ามเขี้ยว ซึ่งแปลว่าคงกระพันที่น่องเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ อาทิ งู
แมลงมีพิษ มักจะสักเป็นอักขระสั้น ๆ อันเป็นใจความของคาถา
อ้างอิง
อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย. (2562). จารไว้ในภาพ ๒. คอมแพคท์พรินท์. หน้า 156-165.
พูนทรัพย์ โพธิ์พันธุ์. (2549). การศึกษาเรื่องการสักของคนไทยสมัยอยุธยาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.1893-2453). สารนิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาประวัติศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/His/Phoonsub_P.pdf
บทนิทรรศการโดย: ปวริศา กองเกิด นักศึกษาคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์








